บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน
ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
ตลอดเดือนกันยายนนี้ ถ้าหากใครได้ไปอยู่ในชุมชนหรือประเทศมุสลิมในเวลากลางวัน ทุกคนจะรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบสงบผิดไปจากปรกติธรรมดา ร้านอาหารที่เคยเปิดบริการในเวลากลางวันจะปิดหมด เราจะไม่พบผู้คนกินหรือดื่มอยู่ตามท้องถนน มหรสพและความรื่นเริงต่างๆตามท้องถนนจะไม่มีให้เราเห็น บ้านบางหลังจะมีเสียงอ่านคัมภีร์กุรอานจากคนในบ้านหรือไม่ก็จากวิทยุ ทั้งนี้ เนื่องจากว่าเดือนกันยายนปีนี้ตลอดทั้งเดือนตรงกับเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนที่มุสลิมทั่วโลกถือศีลอดกัน
การถือศีลอดถือเป็นวินัยบัญญัติสำคัญหนึ่งใน 5 ประการที่ถูกกำหนดให้ผู้ใหญ่มุสลิมทุกคนทั้งชายและหญิงต้องปฏิบัติ การละเว้นถือเป็นบาปใหญ่
เหตุผลเบื้องหลังการถือศีลอด
มนุษย์ไม่ได้เริ่มมีชีวิตเมื่อตอนเกิดและชีวิตของมนุษย์ก็มิได้จบลงตรงความตาย หลังจากลมหายใจสุดท้ายบนโลกนี้แล้ว วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตของมนุษย์จะต้องเดินทางอีกยาวไกลเพื่อกลับไปหาผู้ที่ส่งมันมา นั่นคือพระเจ้า ชะตากรรมของวิญญาณมนุษย์จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์บนโลกชั่วคราวใบนี้ ดังนั้น เพื่อให้มนุษย์ได้มีคู่มือการใช้ชีวิตที่ไม่ผิดพลาด พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ประทานแนวทางในการดำเนินชีวิตมายังมนุษย์ในรูปของคัมภีร์ทางศาสนาและศาสดาที่มาสั่งสอนมนุษย์
เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่คัมภีร์กุรอานถูกประทานมาเพื่อเป็นทางนำแก่มนุษยชาติทั้งมวล แต่คนที่จะได้รับประโยชน์จากคัมภีร์กุรอานอย่างแท้จริงก็คือผู้ยำเกรงพระเจ้าหรือผู้ปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้และงดเว้นจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม หากจะเปรียบไป คัมภีร์กุรอานก็เหมือนกับกฎหมาย หากใครปฏิบัติตาม สังคมก็เป็นระเบียบ หากใครฝ่าฝืนไม่เชื่อฟัง สังคมก็วุ่นวาย ผู้ฝ่าฝืนก็ต้องถูกลงโทษ
ดังนั้น หากมีกฎหมายแล้วไม่มีการฝึกคนให้พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย มันก็เป็นเรื่องยากที่คนจะปฏิบัติตามกฎหมายด้วยความเต็มใจ ด้วยเหตุผลนี้เองที่อิสลามจึงได้กำหนดให้มุสลิมผู้ศรัทธาถือศีลอดเพื่อเกิดความรู้สึกยำเกรงพระเจ้าและเต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์
ศีลอดมิใช่แค่อดอาหาร
การถือศีลอดมิได้หมายถึงแค่เพียงการละเว้นจากการกิน การดื่มเท่านั้น แต่ยังจะต้องละเว้นการเสพ การมีความสัมพันธ์ทางเพศ การซุบซิบนินทา การว่าร้ายและความชั่วต่างๆ ทั้งกายวาจาและใจตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกอีกด้วย หากอดอาหารแล้วยังทำชั่วและล่วงละเมิดสิทธิของคนอื่น การถือศีลอดวันนั้นก็เท่ากับการหิวเปล่า ไม่เกิดประโยชน์และผลดีอันใดต่อผู้ถือศีลอดเลย
ผลที่ได้จากการถือศีลอด
การถือศีลอดให้บทเรียนต่างๆมากมายแก่ผู้ถือศีลอด เช่น
1.ระหว่างการถือศีลอดในตอนกลางวัน แม้อาหารและน้ำซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตยังงดเว้นได้ แล้วทำไมสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือที่เป็นโทษต่อชีวิต เช่น อบายมุขต่างๆ มนุษย์จะงดไม่ได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการถือศีลอดเป็นการฝึกให้เกิดความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เพราะผู้ถือศีลอดจะแอบกินแอบดื่มในที่ลับตาคนก็ได้
แต่ผู้ถือศีลอดก็ไม่ทำเพราะการถือศีลอดนั้นทำตามคำบัญชาของพระเจ้า แม้จะมองไม่เห็นพระองค์ แต่ผู้ถือศีลอดก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงเห็นการกระทำของตน ความรู้สึกเช่นนี้เองที่เป็นพื้นฐานของการยับยั้งจากการทำชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
2.การถือศีลอดทำให้เกิดความรู้สึกถึงคุณค่าและรู้จักขอบคุณสำหรับความสุขที่เราได้รับ เพราะการถือศีลอดหมายถึงการงดเว้นจากการกิน การดื่มและการมีความสัมพันธ์ทางเพศซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้รับความสุขจากมัน การละเว้นจากสิ่งเหล่านี้ชั่วระยะเวลาสั้นๆจะทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของมัน ยามที่เราหิวโหยหรือกระหาย หากใครให้อาหารและน้ำแก่เรา เราจะขอบคุณและรู้สึกอยากจะตอบแทนคนผู้นั้น เช่นเดียวกัน เรามักจะไม่นึกถึงความโปรดปรานของพระเจ้าที่ประทานปัจจัยยังชีพแก่เรา แต่เมื่อเราขาดแคลนมัน เราก็จะนึกถึงมัน ดังนั้น การถือศีลอดจะช่วยทำให้เราได้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับปัจจัยที่พระองค์ประทานแก่เรา
3.การถือศีลอดช่วยให้เราควบคุมความต้องการของตัวเราเองได้ เพราะเมื่อเราอิ่ม ความต้องการของเราก็เริ่มเติบโตแข็งแรง แต่ถ้าหากเราหิว ความต้องการของเราก็อ่อนแอ ดังนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดถึงได้กล่าวว่า
“โอ้ชายหนุ่มทั้งหลาย ใครก็ตามที่สามารถแต่งงานได้ก็จงแต่งงาน เพราะมันจะช่วยลดสายตาของเจ้าลงต่ำและปกป้องความบริสุทธิ์ของตนไว้ แต่ถ้าใครไม่สามารถทำได้ก็จงถือศีลอด เพราะมันจะเป็นโล่ป้องกันเขา”
4.การถือศีลอดทำให้เรารู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจคนยากจน เพราะเมื่อผู้ถือศีลอดลิ้มรสความหิวกระหายชั่วขณะหนึ่งแล้ว เขาก็จะนึกถึงบรรดาผู้ที่หิวโหยตลอดซึ่งจะช่วยให้เขาแสดงความสงสารต่อคนเหล่านี้ ดังนั้น การถือศีลอดจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะสร้างความเห็นอกเห็นใจคนยากจน
5.การถือศีลอดเป็นการสยบและสร้างความอ่อนแอให้ซาตานมารร้ายที่คอยกระซิบกระซาบให้มนุษย์ทำความชั่ว ท่านนบีมุฮัมมัดได้บอกว่า “ซาตานมารร้ายวิ่งไหลไปทั่วตัวลูกๆของอาดัมเหมือนกับเลือด” แต่การถือศีลอดจะทำให้ช่องทางที่ซาตานมารร้ายไหลไปแคบลง ดังนั้น อิทธิพลของมันก็จะน้อยลงไปด้วย ทั้งนี้ เพราะเลือดถูกสร้างมาจากอาหารและเครื่องดื่ม เมื่อเรากินและดื่ม ช่องทางที่ซาตานมารร้ายวิ่งซึ่งก็คือเลือดจะกว้างขึ้น แต่ถ้าเราถือศีลอด ช่องทางจะที่ซาตานมารร้ายวิ่งจะแคบลง ดังนั้น หัวใจก็จะถูกกระตุ้นให้ทำดีและละเว้นความชั่ว
6.การถือศีลอดหมายถึงการพัฒนาความคิดไม่ยึดติดกับโลกนี้และคิดที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเสมอ
7.การถือศีลอดทำให้ผู้ถือศีลอดคุ้นเคยกับการปฏิบัติศาสนกิจมากยิ่งขึ้นเพราะคนที่ถือศีลอดมักจะปฏิบัติศาสนกิจมากขึ้นกว่าธรรมดาและเคยชินกับการปฏิบัติเช่นนั้นเสมอ
ทางนำจากคัมภีร์กุรอาน
“เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่คัมภีร์กุรอานได้ถูกประทานลงมาเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติและมีคำสอนที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่ถูกต้องและมีสิ่งแยกแยะความจริงออกจากความเท็จ ดังนั้น ผู้ใดในหมู่สูเจ้าที่รู้ว่าเข้าเดือนนี้แล้วก็จงถือศีลอด แต่ถ้าหากผู้ใดป่วยหรืออยู่ในระหว่างการเดินทาง ก็ให้เขาถือในวันอื่นแทนวันที่ขาด อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะให้สูเจ้าสะดวกและไม่ทรงต้องการให้สูเจ้าลำบาก ทั้งนี้ เพื่อสูเจ้าจะได้ถือศีลอดครบวันและสดุดีความเกรียงไกรของอัลลอฮฺที่ได้ทรงนำทางสูเจ้าและเพื่อสูเจ้าจะได้ขอบคุณต่อพระองค์” (กุรอาน 2:185)
พจนารถศาสดามุฮัมมัด
“มีคนเจ็ดจำพวกด้วยกันที่จะได้อยู่ในร่มเงาของอัลลอฮฺในวันที่ไม่มีร่มเงาใดๆนอกไปจากร่มเงาของพระองค์ นั่นคือ
การถือศีลอดถือเป็นวินัยบัญญัติสำคัญหนึ่งใน 5 ประการที่ถูกกำหนดให้ผู้ใหญ่มุสลิมทุกคนทั้งชายและหญิงต้องปฏิบัติ การละเว้นถือเป็นบาปใหญ่
เหตุผลเบื้องหลังการถือศีลอด
มนุษย์ไม่ได้เริ่มมีชีวิตเมื่อตอนเกิดและชีวิตของมนุษย์ก็มิได้จบลงตรงความตาย หลังจากลมหายใจสุดท้ายบนโลกนี้แล้ว วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตของมนุษย์จะต้องเดินทางอีกยาวไกลเพื่อกลับไปหาผู้ที่ส่งมันมา นั่นคือพระเจ้า ชะตากรรมของวิญญาณมนุษย์จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์บนโลกชั่วคราวใบนี้ ดังนั้น เพื่อให้มนุษย์ได้มีคู่มือการใช้ชีวิตที่ไม่ผิดพลาด พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ประทานแนวทางในการดำเนินชีวิตมายังมนุษย์ในรูปของคัมภีร์ทางศาสนาและศาสดาที่มาสั่งสอนมนุษย์
เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่คัมภีร์กุรอานถูกประทานมาเพื่อเป็นทางนำแก่มนุษยชาติทั้งมวล แต่คนที่จะได้รับประโยชน์จากคัมภีร์กุรอานอย่างแท้จริงก็คือผู้ยำเกรงพระเจ้าหรือผู้ปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้และงดเว้นจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม หากจะเปรียบไป คัมภีร์กุรอานก็เหมือนกับกฎหมาย หากใครปฏิบัติตาม สังคมก็เป็นระเบียบ หากใครฝ่าฝืนไม่เชื่อฟัง สังคมก็วุ่นวาย ผู้ฝ่าฝืนก็ต้องถูกลงโทษ
ดังนั้น หากมีกฎหมายแล้วไม่มีการฝึกคนให้พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย มันก็เป็นเรื่องยากที่คนจะปฏิบัติตามกฎหมายด้วยความเต็มใจ ด้วยเหตุผลนี้เองที่อิสลามจึงได้กำหนดให้มุสลิมผู้ศรัทธาถือศีลอดเพื่อเกิดความรู้สึกยำเกรงพระเจ้าและเต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์
ศีลอดมิใช่แค่อดอาหาร
การถือศีลอดมิได้หมายถึงแค่เพียงการละเว้นจากการกิน การดื่มเท่านั้น แต่ยังจะต้องละเว้นการเสพ การมีความสัมพันธ์ทางเพศ การซุบซิบนินทา การว่าร้ายและความชั่วต่างๆ ทั้งกายวาจาและใจตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกอีกด้วย หากอดอาหารแล้วยังทำชั่วและล่วงละเมิดสิทธิของคนอื่น การถือศีลอดวันนั้นก็เท่ากับการหิวเปล่า ไม่เกิดประโยชน์และผลดีอันใดต่อผู้ถือศีลอดเลย
ผลที่ได้จากการถือศีลอด
การถือศีลอดให้บทเรียนต่างๆมากมายแก่ผู้ถือศีลอด เช่น
1.ระหว่างการถือศีลอดในตอนกลางวัน แม้อาหารและน้ำซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตยังงดเว้นได้ แล้วทำไมสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือที่เป็นโทษต่อชีวิต เช่น อบายมุขต่างๆ มนุษย์จะงดไม่ได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการถือศีลอดเป็นการฝึกให้เกิดความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เพราะผู้ถือศีลอดจะแอบกินแอบดื่มในที่ลับตาคนก็ได้
แต่ผู้ถือศีลอดก็ไม่ทำเพราะการถือศีลอดนั้นทำตามคำบัญชาของพระเจ้า แม้จะมองไม่เห็นพระองค์ แต่ผู้ถือศีลอดก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงเห็นการกระทำของตน ความรู้สึกเช่นนี้เองที่เป็นพื้นฐานของการยับยั้งจากการทำชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
2.การถือศีลอดทำให้เกิดความรู้สึกถึงคุณค่าและรู้จักขอบคุณสำหรับความสุขที่เราได้รับ เพราะการถือศีลอดหมายถึงการงดเว้นจากการกิน การดื่มและการมีความสัมพันธ์ทางเพศซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้รับความสุขจากมัน การละเว้นจากสิ่งเหล่านี้ชั่วระยะเวลาสั้นๆจะทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของมัน ยามที่เราหิวโหยหรือกระหาย หากใครให้อาหารและน้ำแก่เรา เราจะขอบคุณและรู้สึกอยากจะตอบแทนคนผู้นั้น เช่นเดียวกัน เรามักจะไม่นึกถึงความโปรดปรานของพระเจ้าที่ประทานปัจจัยยังชีพแก่เรา แต่เมื่อเราขาดแคลนมัน เราก็จะนึกถึงมัน ดังนั้น การถือศีลอดจะช่วยทำให้เราได้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับปัจจัยที่พระองค์ประทานแก่เรา
3.การถือศีลอดช่วยให้เราควบคุมความต้องการของตัวเราเองได้ เพราะเมื่อเราอิ่ม ความต้องการของเราก็เริ่มเติบโตแข็งแรง แต่ถ้าหากเราหิว ความต้องการของเราก็อ่อนแอ ดังนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดถึงได้กล่าวว่า
“โอ้ชายหนุ่มทั้งหลาย ใครก็ตามที่สามารถแต่งงานได้ก็จงแต่งงาน เพราะมันจะช่วยลดสายตาของเจ้าลงต่ำและปกป้องความบริสุทธิ์ของตนไว้ แต่ถ้าใครไม่สามารถทำได้ก็จงถือศีลอด เพราะมันจะเป็นโล่ป้องกันเขา”
4.การถือศีลอดทำให้เรารู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจคนยากจน เพราะเมื่อผู้ถือศีลอดลิ้มรสความหิวกระหายชั่วขณะหนึ่งแล้ว เขาก็จะนึกถึงบรรดาผู้ที่หิวโหยตลอดซึ่งจะช่วยให้เขาแสดงความสงสารต่อคนเหล่านี้ ดังนั้น การถือศีลอดจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะสร้างความเห็นอกเห็นใจคนยากจน
5.การถือศีลอดเป็นการสยบและสร้างความอ่อนแอให้ซาตานมารร้ายที่คอยกระซิบกระซาบให้มนุษย์ทำความชั่ว ท่านนบีมุฮัมมัดได้บอกว่า “ซาตานมารร้ายวิ่งไหลไปทั่วตัวลูกๆของอาดัมเหมือนกับเลือด” แต่การถือศีลอดจะทำให้ช่องทางที่ซาตานมารร้ายไหลไปแคบลง ดังนั้น อิทธิพลของมันก็จะน้อยลงไปด้วย ทั้งนี้ เพราะเลือดถูกสร้างมาจากอาหารและเครื่องดื่ม เมื่อเรากินและดื่ม ช่องทางที่ซาตานมารร้ายวิ่งซึ่งก็คือเลือดจะกว้างขึ้น แต่ถ้าเราถือศีลอด ช่องทางจะที่ซาตานมารร้ายวิ่งจะแคบลง ดังนั้น หัวใจก็จะถูกกระตุ้นให้ทำดีและละเว้นความชั่ว
6.การถือศีลอดหมายถึงการพัฒนาความคิดไม่ยึดติดกับโลกนี้และคิดที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเสมอ
7.การถือศีลอดทำให้ผู้ถือศีลอดคุ้นเคยกับการปฏิบัติศาสนกิจมากยิ่งขึ้นเพราะคนที่ถือศีลอดมักจะปฏิบัติศาสนกิจมากขึ้นกว่าธรรมดาและเคยชินกับการปฏิบัติเช่นนั้นเสมอ
ทางนำจากคัมภีร์กุรอาน
“เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่คัมภีร์กุรอานได้ถูกประทานลงมาเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติและมีคำสอนที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่ถูกต้องและมีสิ่งแยกแยะความจริงออกจากความเท็จ ดังนั้น ผู้ใดในหมู่สูเจ้าที่รู้ว่าเข้าเดือนนี้แล้วก็จงถือศีลอด แต่ถ้าหากผู้ใดป่วยหรืออยู่ในระหว่างการเดินทาง ก็ให้เขาถือในวันอื่นแทนวันที่ขาด อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะให้สูเจ้าสะดวกและไม่ทรงต้องการให้สูเจ้าลำบาก ทั้งนี้ เพื่อสูเจ้าจะได้ถือศีลอดครบวันและสดุดีความเกรียงไกรของอัลลอฮฺที่ได้ทรงนำทางสูเจ้าและเพื่อสูเจ้าจะได้ขอบคุณต่อพระองค์” (กุรอาน 2:185)
พจนารถศาสดามุฮัมมัด
“มีคนเจ็ดจำพวกด้วยกันที่จะได้อยู่ในร่มเงาของอัลลอฮฺในวันที่ไม่มีร่มเงาใดๆนอกไปจากร่มเงาของพระองค์ นั่นคือ
(1) ผู้ปกครองที่ยุติธรรม
(2) ชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาในการภักดีต่ออัลลอฮฺ
(3) ผู้ชายที่หัวใจของเขาผูกพันอยู่กับมัสยิด
(4) ชายสองคนที่รักซึ่งกันและกันเพื่ออัลลอฮ พบกันและจากกันเพื่ออัลลอฮฺ
(5) ผู้ชายที่ถูกผู้หญิงสวยและมีฐานะเรียกร้องเชิญชวน (เพื่อการผิดประเวณี) แต่เขากล่าวว่า ‘ฉันเกรงกลัวอัลลอฮฺ’
(6) คนที่ให้ทานและปิดบังไว้เหมือนดังที่มือซ้ายของเขาไม่รู้ว่ามือขวาของเขาได้ให้ทาน และ
(7) ผู้ที่รำลึกถึงอัลลอฮฺตามลำพังแล้วตาของเขาเอ่อไปด้วยน้ำตา”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
Post a Comment